เมนู

9. นาคสูตร


ว่าด้วยอุปมาการหาความสงบของพญาช้างกับการปฏิบัติของภิกษุ


[244] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สมัยใด เมื่อช้างตัวประเสริฐ
อยู่ในป่าเที่ยวหากิน ช้างพลายบ้าง ช้างพังบ้าง ช้างสะเทิ้นบ้าง
ลูกช้างบ้าง เดินไปข้างหน้า กัดปลายหญ้าไว้ด้วน ช้างตัวประเสริฐ
นั้น ย่อมอิดหนาระอาใจรังเกียจเพราะการกระทำนั้น ดูก่อนภิกษุ
ทั้งหลาย สมัยใด เมื่อช้างตัวประเสริฐอยู่ในป่าเที่ยวหากิน ช้างพลาย
บ้าง ช้างพังบ้าง ช้างสะเทิ้นบ้าง ลูกช้างบ้าง กัดกินกิ่งไม้ที่ช้าง
ตัวประเสริฐหักลงไว้ ช้างตัวประเสริฐนั้น ย่อมอิดหนาระอาใจ
รังเกียจเพราะการกระทำนั้น ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สมัยใด เมื่อช้าง
ตัวประเสริฐอยู่ในป่าลงสู่สระ ช้างพลายบ้าง ช้างพังบ้าง ช้าง-
สะเทิ้นบ้าง ลูกช้างบ้าง เดินออกหน้า เอางวงสูบน้ำให้ขุ่น ช้าง
ตัวประเสริฐนั้นย่อมอิดหนาระอาใจรังเกียจเพราะการกระทำนั้น
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สมัยใด เมื่อช้างตัวประเสริฐอยู่ในป่าขึ้นจาก
สระ ช้างพลายทั้งหลายย่อมเดินเสียดสีกายไป ช้างตัวประเสริฐ
ย่อมอิดหนาระอาใจ รังเกียจเพราะการกระทำนั้น ดูก่อนภิกษุ
ทั้งหลาย สมัยนั้น ช้างตัวประเสริฐนั้นย่อมมีความคิดอย่างนี้ว่า
บัดนี้ เราเกลื่อนกล่นไปด้วยช้างพลาย ช้างพัง ช้างสะเทิ้นและ
ลูกช้าง เรากินหญ้ายอดด้วน กินกิ่งไม้ที่ช้างทั้งหลายกินแล้ว ๆ
ดื่มน้ำที่ขุ่นมัว และเมื่อเราขึ้นจากสระ ช้างพังทั้งหลายย่อมเดิน

เสียดสีกายไป ผิฉะนั้น เราพึงหลีกออกจากโขลงอยู่ตัวเดียวเถิด
สมัยต่อมา ช้างตัวประเสริฐนั้น หลีกออกจากโขลงอยู่ตัวเดียว
กินหญ้ายอดไม่ด้วน กินกิ่งไม้ที่ไม่มีช้างอื่นเล็ม ดื่มน้ำที่ไม่ขุ่นมัว
เมื่อขึ้นจากสระ ช้างพังก็ไม่เดินเสียดสีกาย สมัยนั้น ช้างตัวประเสริฐ
ย่อมมีความคิดอย่างนี้ว่า เมื่อก่อนเราเกลื่อนกล่นไปด้วยช้างพลาย
ช้างพัง ช้างสะเทิ้น และลูกช้าง กินหญ้ายอดด้วน กินกิ่งไม้ที่ช้าง
อื่นเล็มแล้ว ๆ ดื่มน้ำขุ่นมัว และเมื่อเราขึ้นจากสระ ช้างพังยังเดิน
เสียดสีกายเราไป บัดนี้ เราหลีกออกจากโขลงอยู่ตัวเดียว กินหญ้า
ยอดไม่ด้วน กินกิ่งไม้ที่ช้างอื่นไม่เล็ม ดื่มน้ำที่ไม่ขุ่นมัว และเมื่อ
ขึ้นจากสระ ช้างพังก็ไม่เดินเสียดสีกายเราไป ดังนี้ ช้างตัว
ประเสริฐนั้นเอางวงหักกิ่งไม้มาปัดกาย มีใจชื่นชม บำบัดโรค-
ต่อมคัน ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ฉันนั้นเหมือนกัน สมัยใด ภิกษุเกลื่อน
กล่นไปด้วยภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา พระราชา มหาอำมาตย์
ของพระราชา เดียรถีย์ สาวกของเดียรถีย์ สมัยนั้น ภิกษุนั้น ย่อม
มีความคิดอย่างนี้ว่า บัดนี้ เราเกลื่อนกล่นไปด้วยภิกษุ ภิกษุณี
อุบาสก อุบาสิกา พระราชา มหาอำมาตย์ของพระราชา เดียรถีย์
สาวกของเดียรถีย์ ผิฉะนั้น เราพึงหลีกออกจากหมู่ไปอยู่ผู้เดียว
เธอเสพเสนาสนะที่สงัด คือป่า โคนไม้ ภูเขา ซอกเขา ถ้ำ ป่าช้า
ป่าชัฏ ที่แจ้ง ลอมฟาง เธออยู่ป่า โคนไม้ หรือเรือนว่าง นั่งคู้บัลลังก์
ตั้งกายตรง ดำรงสติไว้เบื้องหน้า ละอภิชฌาในโลกเสีย มีใจ
ปราศจากอภิชฌาอยู่ ชำระจิตให้บริสุทธิจากอภิชฌา ละความ

ประทุษร้าย คือ พยาบาท มีจิตไม่พยาบาท อนุเคราะห์เกื้อกูลแก่
สรรพสัตว์ ชำระจิตให้บริสุทธิ์จากความประทุษร้าย คือพยาบาท
ละถีนมิทธะ ปราศจากความง่วงเหงาหาวนอน มีความสำคัญใน
แสงสว่างอยู่ มีสติสัปชัญญะ ชำระจิตให้บริสุทธิ์จากถีนมิทธะ
ลุอุทธัจจะกุกกุจจะ ไม่ฟุ้งซ่าน มีจิตสงบในภายใน ชำระจิตให้
บริสุทธิ์จากอุทธัจจะกุกกุจจะ ละวิจิกิจฉา ข้ามพ้นวิจิกิจฉา ไม่
เคลือบแคลงสงสัยในกุศลทั้งหลาย ชำระจิตให้บริสุทธิ์จากวิจิกิจฉา
เธอละนิวรณ์ 5 ประการนี้ อันเป็นอุปกิเลสแห่งใจทำปัญญาให้
ทุรพลแล้ว สงัดจากกาม... บรรลุปฐมฌาน... เธอมีใจชื่นชม
บำบัดความระคายใจได้ เธอบรรลุทุติยฌาน ฯลฯ ตติยฌาน ฯลฯ
จตุตถฌาน มีใจชื่นชม บำบัดความระคายใจได้ เพราล่วงรูปสัญญา
โดยประการทั้งปวง ฯลฯ บรรลุอากาสานัญจายตนฌาน ฯลฯ
บรรลุวิญญาณัญจายตนฌาน ฯลฯ บรรลุอากิญจัญญายตนฌาน ฯลฯ
บรรลุเนวสัญญานาสัญญายตนฌาน ฯลฯ บรรลุสัยญาเวทยิตนิโรธ
อาสวะของเธอสิ้นรอบแล้ว เพราะเห็นด้วยปัญญา เธอมีใจชื่นชม
บำบัดความระคายใจได้.
จบ นาคสูตรที่ 9

อรรถกถานาคสูตรที่ 9


นาคสูตรที่ 9

มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
บทว่า อารญฺญกสฺส ได้แก่ ช้างอยู่ในป่า. บทว่า โคจรปสุตสฺส
ได้แก่ ไปหาอาหาร. บทว่า หตฺถีกุลภาปิ ได้แก่ ลูกช้างรุ่นใหญ่ ๆ.
บทว่า หตฺถิจฺฉาปา ได้แก่ ลูกช้างรุ่น. บทว่า โอภคฺโคภคฺคํ ได้แก่
เหนี่ยวโน้มลงมาตั้งไว้. บทว่า โอคาหํ โอติณฺณสฺส ได้แก่ ช้าง
หยั่งลงสู่ท่าน้ำอันได้ชื่อว่า โอคาหะ เพราะเป็นที่อันช้างพึงดำลง
ไปได้. บทว่า โอคาหา อุตฺติณฺณสฺส ได้แก่ ช้างขึ้นจากท่าน้ำ.
บทว่า วูปกฏโฐ ได้แก่ หลีกออกไปตัวเดียว. บัดนี้เพราะไม่มีกิจ
ด้วยช้างตัวประเสริฐของพระทศพล แต่พระองค์ทรงนำพระดำรัส
นี้มา เพื่อแสดงถึงบุคคลเปรียบด้วยช้างนั้นในพระศาสนา ฉะนั้น
เมื่อพระองค์จะทรงแสดงถึงบุคคลนั้น จึงตรัสคำมีอาทิว่า เอวเมว โข
ดังนี้.
จบ อรรถกถานาคสูตรที่ 9